วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

WEEK 8 : Review/แนะนำการใช้โปรแกรม

           หลายๆคนที่ชอบเล่นเกม ก็คงชอบที่จะดูแข่งเกม หรือ ดูผู้เล่นระดับ Pro player ที่มาสตรีมให้ดู และก็คงมีอยู่หลายคนเหมือนกันที่อยากจะลองสตรีม วันนี้ผมจะมาแนะนำ 1 ในโปรแกรมที่เอาไว้สตรีมบนเว็บถ่ายทอดสด โดยโปรแกรมนี้คือ Open Broadcaster Software

                                           

         Open Broadcaster Software (OBS) เป็นโปรแกรมที่เอาไว้สำหรับถ่ายวีดีโอ และ ไลฟ์สตรีม โปรแกรมนี้ฟรีและค่อนข้างที่จะใช้ง่ายกว่าโปรแกรมถ่ายทอดสดอื่นๆ โดยผมจะบอกวิธีไลฟ์สตรีมแบบง่ายๆให้ครับ โดยผมจะแค่ส่วนที่ควรจะปรับเท่านั้น
           1. ดาวน์โหลดโปรแกรมมาจาก obsproject.com แล้วติดตั้ง


           2. เปิดโปรแกรมขึ้นมาแล้วไปที่ setting


             3. ในหัวข้อ Encoding ผมแนะนำให้ปรับแค่ Max bitrate เพราะอย่างอื่นค่อนข้างจะยุ่งยากสักหน่อยและไม่ค่อยจำเป็นมาก ส่วนจะปรับ bitrate เป็นเท่าไหร่นั้นขึ้นอยู่กับความเร็ว upload อินเตอร์เน็ตของคุณ


4. ใน  Broadcast Setting จะมีโหมดให้ปรับตั้งค่าระหว่างสตรีมกับการถ่ายวิดีโอ ใน Live Stream Mode จะมีให้เลือ Stream Service หรือเว็บโฮสที่เราจะสตรีมอยู่ ต่อมาเป็น FMS URL เซิฟเวอร์ที่เราจะยิง
สตรีมออกไป และต่อไปเป็น Stream Key โดยเราต้องไปเอามาจากเว็บของ Stream Service ที่เราเลือก
ส่วนที่เหลือเป็นรายละเอียดยิบย่อยครับ ปรับแต่เองได้


5. ที่เหลือจะเป็นในส่วนของการปรับแต่งการไลฟ์สตรีมซึ่งต้องทำความสนใจอยู่สักพักเลยล่ะครับ


มาดูในส่วนของอินเตอร์เฟส



 1.ในกรอบสีน้ำเงินจะเป็นส่วนที่เอาไว้จัดการกับ Scene ต่างๆ ยังเอาไว้เรียง Scene ด้วยว่า เอาอันไหนไว้บนอันไหนไว้ล่าง และ Sources เอาไว้ใส่พวกรูปภาพ ข้อความต่างๆ Overlay หรืออื่นๆ ไว้ใน Scene ที่เราเลือกไว้
2. ในกรอบแดง Setting ก็จะกลับไปตั้งค่าต่างๆแบบข้างบน Edit Scene ไว้ปรับขนาดของ Sources ต่างๆ
Global Resources เป็น Resources ที่เราตั้งไว้แล้วสามารถเอาไปใช้ได้กับทุก Scene และ Plug in สำหรับ Plug in เสริม ส่วนอีกฝั่ง จะเป็นปุ่มไว้เริ่มถ่ายทอดสด อัดวิดีโอ และ ปุ่มไว้สำหรับ preview ดู


วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

WEEK 7: คอมพิวเตอร์ และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์




คอมพิวเตอร์คืออะไร

     คอมพิวเตอร์ เป็นอุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ (electrinic device) ที่มนุษย์เราใช้เป็นเครื่องมือช่วยในการจัดการกับข้อมูลที่อาจจะเป็นทั้ง ตัวเลข ตัวอักษร หรือสัญลักษณ์ที่ใช้แทนความหมายในสิ่งต่าง ๆ โดยคุณสมบัติที่สำคัญของคอมพิวเตอร์คือการที่สามารถกำหนดชุดคำสั่งล่วงหน้าหรือโปรแกรมได้ (programmable) นั่นคือคอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้หลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับชุดคำสั่งที่เลือกมาใช้งาน ทำให้สามารถนำคอมพิวเตอร์ไปประยุกต์ใช้งานต่างๆได้อย่างกว้างขวาง เช่น ใช้ในการตรวจคลื่นความถี่ของหัวใจ การฝาก - ถอนเงินในธนาคาร การตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์ เป็นต้น ข้อดีของคอมพิวเตอร์ คือ เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธภาพ มีความถูกต้อง และมีความรวดเร็ว
อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะเป็นงานชนิดใดก็ตาม เครื่องคอมพิวเตอร์จะมีวงจรการทำงานพื้นฐานอยู่  4 อย่าง

  1.รับข้อมูล (Input) เครื่องคอมพิวเตอร์จะทำการรับข้อมูลจากหน่วยรับข้อมูล (input unit) เช่น คีบอร์ด หรือ เมาส์
  2.ประมวลผล (Processing) เครื่องคอมพิวเตอร์จะทำการประมวลผลกับข้อมูล เพื่อแปลงให้อยู่ในรูปอื่นตามที่ต้องการ
  3.แสดงผล (Output) เครื่องคอมพิวเตอร์จะให้ผลลัพธ์จากการประมวลผลออกมายังหน่วยแสดงผลลัพธ์ (output unit) เช่น เครื่องพิมพ์ หรือจอภาพ
  4.เก็บข้อมูล (Storage) เครื่องคอมพิวเตอร์จะทำการเก็บผลลัพธ์จากการประมวลผลไว้ในหน่วยเก็บข้อมูล เพื่อให้สามารถนำมาใช้ใหม่ได้ในอนาคต

ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์คืออะไร

       เครือข่ายคอมพิวเตอร์ (computer network)  คือ ระบบที่มีคอมพิวเตอร์อย่างน้อยสองเครื่องเชื่อมต่อกันโดยใช้สื่อกลาง และสามารถสื่อสารข้อมูลกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกันได้  นอกจากนี้ยังสามารถใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในเครือข่ายร่วมกันได้ เช่น เครื่องพิมพ์ สแกนเนอร์ ฮาร์ดดิสก์ เป็นต้น  การใช้ทรัพยากรเหล่านี้ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก  เมื่อมีการเชื่อมต่อกับเครือข่ายอื่นๆ ที่อยู่ห่างไกล เช่น ระบบอินเตอร์เน็ต ซึ่งเป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ทั่วโลก  ก็ทำให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร ได้กับคนทั่วโลก โดยใช้แอพพลิเคชั่น เช่น เว็บ อีเมลล์ เป็นต้น

        การสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์มีที่มาจากผู้ที่ต้องการแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว คอมพิวเตอร์นั้นเป็นอุปกรณ์ที่มีความสามารถในการประมวลข้อมูลในปริมาณมากได้อย่างรวดเร็ว แต่มีข้อเสียคือ ผู้ใช้ไม่สามารถแชร์ข้อมูลกับคนอื่นๆได้ ดังนั้น ก่อนมีการสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ผู้ใช้จะแลกเปลี่ยนข้อมูลกันโดยการ พิมพ์(print) ข้อมูลออกมาเป็นเอกสารก่อนแล้วค่อยนำไปให้ผู้ใช้ที่ต้องการใช้หรือแก้ไขข้อมูลอีกคนหนึ่ง ซึ่งทำให้เสียเวลาและเป็นวิธีที่ยุ่งยากมากเมื่อเปรียบเทียบกับปัจจุบันที่มีการใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์แล้ว

        การทำสำเนา(copy) หรือ บันทึก(save) ข้อมูลลงในแผ่นดิสก์(floppy disk) แล้วส่งให้คนอื่นก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่นิยมใช้กันก่อนที่จะมีการสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และนับว่าเป็นวิธีที่เสียเวลาและยุ่งยากน้อยกว่าการส่งเป็นแผ่นกระดาษ เนื่องจากไม่ต้องเสียเวลาในการแปลงข้อมูล เพราะคอมพิวเตอร์สามารถอ่านข้อมูลในแผ่นดิสก์ได้เลย การใช้คอมพิวเตอร์ลักษณะนี้เรียกว่า sneakernet หรือ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีคนเป็นสื่อรับส่งข้อมูล การใช้เครือข่ายแบบ sneakernet นี้ ถือว่ายังช้ามากเมื่อเทียบกับความเร็วของคอมพิวเตอร์ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันการใช้คอมพิวเตอร์ลักษณะนี้ก็ยังมีการใช้กันอยู่บ้างในองค์กรที่ไม่มีระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์

           การใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กันโดยสายสัญญาณ การถ่ายโอนข้อมูลระหว่างเครื่องจะเร็วมากเนื่องจากการเดินทางของข้อมูลผ่านสายสัญญาณนี้ จะมีความเร็วเกือบเท่าความเร็วแสง เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าผู้ใช้คอมพิวเตอร์จะอยู่ห่างกันแค่ไหน การแลกเปลี่ยนข้อมูลก็จะเร็วกว่าการใช้แผ่นดิสก์มาก เครือข่ายแบบนี้ทำให้ผู้ใช้สามารถแชร์ข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

ที่มา
http://guru.sanook.com/2287/
https://sites.google.com/site/wiparat0001/bth-thi-hnung

วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

WEEK 6 : วิเคราะห์ข้อสอบ O-net คอมพิวเตอร์

1 ) ลิขสิทธิ์โปรแกรมประเภทรหัสเปิด (Open Source) อณุญาตให้ผู้ใช้ทำอะไรได้บ้าง
          ก. นำโปรแกรมมาใช้งานโดยไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์
          ข. ทดลองใช้โปรแกรมก่อน ถ้าพอใจจึงจ่ายค่าลิขสิทธิ์
          ค. แก้ไขปรับปรุงโปรแกรมเองได้
      1. ข้อ ก. กับ ข้อ ค.
      2. ข้อ ข. กับ ข้อ ค.
      3. ข้อ ข. อย่างเดียว
      4. ข้อ ก. อย่างเดียว

วิเคราะห์
        Open Source คือ ตัวโปรแกรม ซอฟต์แวร์ ที่เกี่ยวกับ การออกแบบและพัฒนา วัตถุประสงค์หลักคือ เป็นตัวโปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้นาไปใช้งานและอาจพัฒนาตัวโปรแกรมต่อได้ ส่วนใหญ่ Open Source จะเป็นโปรแกรมที่แจกฟรี จึงกลายเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายและรวดเร็วสาหรับในบ้านเรา ที่นิยมใช้งาน Open Source นั้น มีตั้งแต่เว็บในกลุ่มที่จัดทาโดยบุคคล เช่นพวก เว็บแฟนคลับ เว็บ community ต่างๆ ไปจนถึงเว็บในรูปแบบบริษัท องค์กร ห้างร้าน ส่วนตัวโปรแกรม Open Source ที่เป็นที่นิยม ได้แก่ Joomla ต่างๆ Word Press Drupal PHP nuke SMF PHPbb เป็นต้น

2 ) ระบบกระดานสนทนาหรือเว็บบอร์ดแห่งหนึ่งมีความต้องการดังนี้
           ก. ต้องการให้ผู้ใช้สามารถตั้งกระทู้โต้ตอบกันได้โดยผู้ใช้ต้องแสดงตัวตน (ล็อคอิน) เพื่อเข้าระบบก่อน
           ข. ผู้ใช้สามารถตั้งกระทู้หรือเข้าไปตอบกระทู้ที่ตั้งไว้แล้วได้
           ค. ระบบจะบันทึกชื่อผู้ตั้งและผู้ตอบไว้ด้วย
 ในการออกแบบฐานข้อมูลสำหรับระบบดังกล่าว ข้อใดกล่าวได้ถูกต้อง
       1. ต้องสร้างตารางผู้ใช้ ตารางกระทู้ และตารางคำตอบ
       2. ไม่ต้องสร้างตารางผู้ใช้ เนื่องจากสามารถบันทึกชื่อผู้ใช้ตารางกระทู้และตารางคำตอบได้เลย
       3. ต้องสร้างตารางผู้ใช้ และตารางกระทู้ ส่วนคำตอบจะอยู่ในตารางกระทู้อยู่แล้ว
       4. ไม่ต้องสร้างตารางกระทู้ เพราะสามารถบันทึกกระทู้ที่ผู้ใช้ตั้งในตารางใช้ได้เลย

วิเคราะห์
        เป็นความรู้เกี่ยวกับการสร้างฐานข้อมูลบนกระดานสนทนา ต้องสร้างตารางเก็บข้อมูลของผู้ใช้ ตารางสาหรับตั้งกระทู้ และตารางคาตอบของผู้ตอบ

3 ) ข้อใดเป็นการปฎิบัติที่ถูกต้องตามหลักวิชาการเมื่อค้นคว้าหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตมาทำรายงาน
       1. คัดลอกเนื้อหาจากเว็บไซต์
       2. ใช้เนื้อหาจากกระดานสนทนา (web board) มาใส่ในรายงาน
       3. นำรูปภาพจากเว็ไซต์มาใส่ในรายงาน
       4. อ้างอิงชื่อผู้เขียนบทความ

วิเคราะห์
        การทารายงาน เมื่อนักเรียนสืบคืนข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตแล้วพบข้อมูลที่ต้องการแล้ว หากมีการนาข้อความหรือข้อมูลจากเว็ปไซต์นั้นมาใช้ แล้วก็ควรที่จะมีการสรุปเนื้อหาด้วย และที่สาคัญควรจะอ้างอิงถึงชื่อผู้ที่ให้ข้อมูลเราเป็นการขอบคุณด้วย

4 ) ห้องสมุดแห่งหนึ่งต้องการพัฒนาระบบการยืมหนังสือโดยสามารถบันทึกข้อมูลการยืมหนังสือลงบนบัตรอิเลคโทรนิคส์โดยไม่ต้องเขียนด้วยมือ ระบบนี้ควรใช้เทคโนโลยีในข้อใด
       1. Smart Card
       2. Fingerprint
       3. Barcode
       4. WiFi

วิเคราะห์
         Smart Card ก็พวกบัตรต่างๆ เครดิต เอทีเอ็ม Fingerprint เป็นระบบแสกนลายนิ้วมือ Barcode ก็ใช้เครื่องยิงไปที่แถบบาร์โค๊ดเพื่ออ่านข้อมูลแบบห้องสมุดโรงเรียนเรา WiFi คือ ระบบอินเตอร์เน็ตไร้สาย ข้อนี้จากคาถามแล้วควรจะใช้ Barcode อ่านข้อมูลจากบัตรอิเล็กทรอนิกส์ ตอบ ข้อ 3

5 )  ผู้ประกอบอาชีพเป็นผู้พัฒนาเว็บไซต์ต้องเชี่ยวชาญความรู้ด้านใดบ้างจากตัวเลือกต่อไปนี้
           ก. ฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์                                       ง. HTML
           ข. ระบบปฎิบัติการ                                                 จ. ระบบฐานข้อมูล
           ค. เว็บเซร์ฟเวอร์                                                    ฉ. ภาษาจาวา (Java)

วิเคราะห์
        ผู้พัฒนาเว็ปไซต์หรือเรียกกันเท่ห์ๆว่า เว็ปมาสเตอร์ คนเขียนเว็ป ควรจะมีความรู้ด้านใดละ ด้านฮาร์ดแวร์ คือ ด้านอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่างๆที่มันจับต้องได้ โยนใส่หัวแล้วหัวแตกนั่นแหละคือฮาร์ดแวร์ ด้านซอฟแวร์ คือ เกี่ยวกับโปรแกรมต่างๆในเครื่อง เกมส์ ที่ชอบเล่นนั่นแหละ ระบบปฏิบัติการ คือ โปรแกรมควบคุมการทางานของเครื่องคอมพิวเตอร์ Windows ต่างๆ เว็ปเซิฟร์เวอร์ คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้บริการพื้นที่เว็ปเว็ปไซต์ต่างๆ HTML เป็นภาษาที่ใช้ในการเขียนเว็ปไซต์ ยังมีพวก ASP , PHP ,Java ด้วยนะ ระบบฐานข้อมูล ก็เช่น หากต้องการสร้างเว็ปไซต์ที่เว็ปฐานข้อมูลด้วยก็ต้องมีความรู้เรื่องนี้ด้วย ภาษาจาวา ก็เป็นภาษาที่ใช้เขียนสคลิปบนเว็ปไซต์ด้วย เช่น สั่งให้ตัวอักษรวิ่ง กระพริบ

                                 

ที่มา :
www.wanyai.ac.th/OnetT6

วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

WEEK 5 : สิ่งที่นักเรียนสนใจ(2)

OSAKA เที่ยวไปกินไป
       เมื่อปีก่อนคุณย่ากับคุณอาของผมได้มีโอกาศไปเที่ยวญี่ปุ่น เลยได้ไปจังหวัดนู้น จังหวัดนี้แล้วก็ไม่พ้นกับจังหวัดโอซาก้านี้ พอกลับมาก็มาโม้ว้าได้กินขาปูโอซาก้าที่โด่งดังด้วย ผมเลยมีโอกาศที่จะได้หาข้อมูลไว้บ้าง เผื่อจะได้ไปบ้างสักวัน

                                 

         โอซาก้า (ญี่ปุ่น: 大阪 Ōsaka ) เป็นนครในภาคคันไซของเกาะฮนชู ตั้งอยู่ในจังหวัดโอซาก้า จัดเป็นนครในเขตเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 2 และเป็นนครที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 3 ของประเทศญี่ปุ่น และเป็นส่วนที่ใหญ่ที่สุดของสามนครใหญ่เคฮันชิง โดยรัฐบาลญี่ปุ่นนั้นได้จัดตั้งให้โอซาก้า เป็นหนึ่งในหลายเมืองของประเทศที่มีเขตการปกครองรูปแบบพิเศษ
          เมืองโอซาก้ามีประชากรทั้งหมดประมาณ 2.7 ล้านคน แต่ในช่วงเวลาทำงานจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.7 ล้านคน ซึ่งเป็นรองเพียงแต่โตเกียวเท่านั้น อัตราส่วนประชากรกลางวันต่อกลางคืนเท่ากับ 141 เปอร์เซ็นต์ นครตั้งอยู่ที่ปากแม่น้ำโยะโดะ อ่าวโอซะกะ และทะเลเซะโตะ
          โอซาก้าเป็นเป็นเมืองสำคัญทางประวัติศาสตร์ ทั้งการค้าและวัฒนธรรมเมืองหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น มีสมญาว่า ครัวของชาติ (天下の台所( Tenka no Daidokoro )?) เพราะเป็นศูนย์กลางการค้าข้าวของญี่ปุ่นตั้งแต่สมัยเอะโดะ และปัจจุบันเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมเมืองหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น

                             

            เมืองโอซาก้าตั้งอยู่ที่ปากแม่น้ำทางตะวันตกของแม่น้ำโยะโดะ ริมอ่าวโอซะกะ ล้อมรอบด้วยเมืองเล็กกว่าสิบเมืองในจังหวัดโอซะกะ มีพื้นที่คิดเป็นร้อยละ 13 ของจังหวัดโอซะกะ โดยสมัยก่อตั้งเมืองในปี 1880 เมืองโอซาก้าแบ่งออกเป็นสองเขตคือ ชูโอะ และ นิชิ มีพื้นที่เพียง 15.27 ตารางกิโลเมตร และปัจจุบัน เมืองเติบโตจนมีพื้นที่ 222.30 ตารางกิโลเมตร โดยการเติบโตที่รวดเร็วที่สุดเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1925 เมื่อเมืองได้มีการขยายพื้นที่ออกไปอีก 126.01 ตารางกิโลเมตร จุดที่สูงที่สุดของเมืองโอซะกะอยู่ในเขตสึรุมิ ความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 37.5 เมตร และจุดที่ต่ำที่สุด อยู่ที่เขตนิชิโยะโดะงะวะ ความสูงต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 2.2 เมตร
            และถ้าพูดถึงโอซาก้าแล้ว ไม่พูดถึงเรื่องของกินก็คงไม่ใช่ โอซาก้าเป็นแหล่งค้าส่งและค้าปลีกขนาดใหญ่ มีร้านค้าส่ง 25,228 ร้านและร้านค้าปลีก 34,707 ร้านในปี พ.ศ. 2547 ร้านค้าส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเขตชูโอะ (10,468 ร้าน) และเขตคิตะ (6,335 ร้าน) มีร้านค้าหลายรูปแบบตั้งแต่ โชเตงไก(商店街) แบบดั้งเดิมไปจนถึงห้างสรรพสินค้าบนดินและใต้ดิน โชเตงไกเป็นรูปแบบของร้านแบบดั้งเดิมที่พบได้ทั่วญี่ปุ่น และโอซะกะมีโชเตงไกที่ยาวที่สุดในโลกอยู่ที่ เทนจินบะชิ ความยาว 2.6 กิโลเมตร ขายสินค้าหลากหลายตั้งแต่ของใช้ภายในบ้าน เสื้อผ้า ตลอดจนอาหารเลี้ยงสัตว์
            พื้นที่สินค้าอีกแห่งหนึ่งที่สำคัญคือ เดนเดนทาวน์ เป็นแหล่งรวมสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และการ์ตูน/อะนิเมะที่สำคัญของโอซาก้า คล้ายกับย่านอะกิฮะบะระของโตเกียวที่ได้พูดไปเมื่อคราวก่อน ส่วนย่านอุเมะดะเป็นแหล่งรวมห้างสรรพสินค้าและห้างโยะโดะบะชิคาเมร่า อันเป็นห้างสรรพสินค้าด้านอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าชื่อดังของญี่ปุ่น

                     
             โอซาก้า ขึ้นชื่อในเรื่องของเมืองอาหาร ทั้งอาหารญี่ปุ่นและจากนานชาติ โดยนักเขียนอย่างไมเคิล บูธ และฟรองซัวส์ ไซมอน นักวิจารณ์อาหารชื่อดังของหนังสือพิมพ์เลอฟิกาโร บอกว่า โอซะกะเป็นเมืองหลวงด้านอาหารของโลก โดยผู้ที่ชื่นชอบอาหารโอซะกะคงจะเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า "เคียวโตะซื้อเสื้อผ้าขนหมดตัว โอซะกะซื้ออาหารจนหมดตัว"

ที่มา
https://en.wikipedia.org/wiki/Osaka
http://www.osaka-info.jp/en/

วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2558

WEEK 4 : โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ (Java)

          ภาษาคอมพิวเตอร์เป็นภาษาที่ทำให้เราสามารถโปรแกรมการทำงานต่างๆ สั่งให้คอมพิวเตอร์ โดยผมจะมาอธิบาย 1 ในภาษาคอมพิวเตอร์ที่หลายๆคนน่าจะรู้จักกันอย่าง Java
          ภาษาจาวา (อังกฤษ: Java programming language) เป็นภาษาโปรแกรมเชิงวัตถุ (อังกฤษ: Object Oriented Programming) พัฒนาโดยเจมส์ กอสลิง และวิศวกรคนอื่นๆ ที่ ซัน ไมโครซิสเต็มส์ ภาษาจาวาถูกพัฒนาขึ้นในปี พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) โดยเป็นส่วนหนึ่งของ โครงการกรีน (the Green Project) และสำเร็จออกสู่สาธารณะในปี พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) ซึ่งภาษานี้มีจุดประสงค์เพื่อใช้แทนภาษาซีพลัสพลัส (C++) โดยรูปแบบที่เพิ่มเติมขึ้นคล้ายกับภาษาอ็อบเจกต์ทีฟซี(Objective-C) แต่เดิมภาษานี้เรียกว่า ภาษาโอ๊ก (Oak) ซึ่งตั้งชื่อตามต้นโอ๊กใกล้ที่ทำงานของ เจมส์ กอสลิง แต่ว่ามีปัญหาทางลิขสิทธิ์ จึงเปลี่ยนไปใช้ชื่อ "จาวา" ซึ่งเป็นชื่อกาแฟแทน
           และอาจจะมีหลายคนสับสนระหว่าง Java และ Java script เนื่องจากชื่อที่เหมือนกัน และการเรียกขานที่มักจะพูดถึงพร้อมกันบ่อยๆ ทำให้คนทั่วไป มักสับสนว่า ภาษาจาวา และ จาวาแพลตฟอร์ม เป็นสิ่งเดียวกันในความเป็นจริงนั้น ทั้งสองสิ่ง แม้จะทำงานเสริมกัน แต่ก็เป็นสิ่งที่แยกออกจากกันโดย ภาษาจาวานั้น คือภาษาสำหรับใช้เขียนโปรแกรมภาษาหนึ่ง ดังที่ได้อธิบายไปข้างต้น ส่วน จาวาแพลตฟอร์มนั้น คือสภาพแวดล้อมสำหรับการใช้งานโปรแกรมจาวา โดยมีองค์ประกอบหลักคือ จาวาเวอร์ชวลแมชีน (Java virtual machine) และ ไลบรารีมาตรฐานจาวา (Java standard library)โปรแกรมที่ทำงานบนจาวาแพลตฟอร์มนั้น ไม่จำเป็นจะต้องสร้างด้วยภาษาจาวา เช่น อาจจะใช้ ภาษาไพทอน (Python) ส่วนภาษาจาวานั้น ก็สามารถนำไปใช้พัฒนาโปรแกรมสำหรับแพลตฟอร์มอื่นได้เช่นเดียวกัน เช่น คอมไพเลอร์ gcj สามารถคอมไพล์โปรแกรมที่เขียนด้วยภาษาจาวา ให้ทำงานได้ โดยไม่ต้องใช้ จาวาเวอร์ชวลแมชีน
           และแม้ว่าจะมีชื่อคล้ายกัน แต่ภาษาจาวาไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับภาษาจาวาสคริปต์ (JavaScript) ปัจจุบันมาตรฐานของภาษาจาวาดูแลโดย Java Community Process ซึ่งเป็นกระบวนการอย่างเป็นทางการ ที่อนุญาตให้ผู้ที่สนใจเข้าร่วมกำหนดความสามารถในจาวาแพลตฟอร์มได้

           โดยจาวา (Java) จะมีข้อดีตรงที่มีความเรียบง่าย ความปลอดภัย รองรับการพัฒนาโปรแกรมบนหลากหลาย Platform และภาษาจาวา สามารถนำมาพัฒนา และติดตั้งได้ฟรีอีกด้วย แต่ว่า จาวาก็มีข้อเสียเหมือนกัน เช่น เป็นภาษาที่เรียนรู้ค่อนข้างยาก ถ้าเปรียบเทียบกับภาษาอื่น ๆ มีกฏเกณฑ์ที่ค่อนข้างเข้มงวด และมีคำศัพท์ต่าง ๆ มากมาย

                                   

ที่มา
http://www.mindphp.com/
https://en.wikipedia.org/wiki/Java_(programming_language)


วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2558

WEEK 3 : Social Network กับนักเรียนและสังคมไทย

Social Network กับนักเรียนและสังคมไทย

               ปัจจุบันนี้ Social Network เป็นสิ่งที่เคียงข้างมากับทุกๆคน เพราะ Social Network เป็น 1 ในช่องทางที่จะทำให้เรา ติดต่อสื่อสารกับคนอื่น และสามารถที่จะติดตามข้อมูลข่าวสารทั่วโลกได้อย่างรวด
 เร็ว ทำให้โซเชียลเน็ตเวิร์ค เป็นสิ่งที่คนสนใจ มีผู้ใช้เป็นจำนวนมาก เพราะเหตุนี้ทำให้ คนส่วนมากใช้ 
(http://libeltyseo.com/wp-content/uploads/2013/03/social-networking.png)
 Social Network 
                
             ด้วยอุปกรณ์อย่าง Smartphone ทำให้ การเข้าไปในสังคมโซเชียล เป็นอย่างง่ายดาย
และสารามารถที่จะใช้ที่ไหนก็ได้ เวลาไหนก็ได้
ทำให้ผมคิดว่า มันอาจจะทำให้เกิดปัญหากับกลุ่มนักเรียน ด้วยการที่คนอื่นสามารถที่จะแชร์ อะไรก็ได้ ทำให้มีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม บวกกับความง่ายในการเข้าถึงเนื้อหา อาจจะให้เกิดความอยากลองได้และอีกปัญหาที่น่าจะเกิดขึ้นน่าจะเป็นเรื่องของการเสพติด Social Network
ใช้พูดคุย ติดต่อมากเกินไป จนไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่น  ทำให้ผลการเรียนตกหรือเสียการเรียน 
ไป และยังไม่ได้พูดคุยกับคนรอบข้าง ก้มหน้ากดมือถืออย่างเดียว

             สำหรับด้านสังคมโซเชียล เน็ตเวิร์ค ทำให้เราสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกับผู้อื่น ใช้เป็นที่โฆษณาสินค้า ติดต่อด้านธุรกิจทำให้เกิรายได้ และเป็นที่ๆเอาไว้แสดงความคิดเห็นส่วนตัว ับคนอื่น  แต่ในทางกลับกัน ด้วยความกว้างขวางของโซเชียล เน็ตเวิร์ค อาจจะทำให้ขู้อมูลส่วนตัวหลุดออกไปจากการพูดคุยกับคนอื่น สิ่งที่คนอื่นแชร์มาให้ มีทั้งที่ดีและไม่ดี และถ้าหากเรามีอะไรที่เป็นความลับส่วนตัวแต่หลุดออกไป จะเป็นเรื่องยากที่จะแก้ไข โดยรวมๆแล้ว Social Network เป็นช่องทางการสื่อสารที่มีประโยช์และโทษอยู่ด้วย มันขึ้นกับผูใช้แล้วล่ะ ว่าจะใช้มันไปในทางไหน

(http://www.greenbookblog.org/wp-content/uploads/2012/11/social-image2.jpg)
                                             

วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2558

WEEK 2 : เรื่องที่นักเรียนสนใจ

AKIHABARA ศูนย์กลางเหล่าโอตาคุ

(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/e/ef/Akiba_denkigai.jpg)

ย่านอากิฮาบาระ (秋葉原, Akihabara) หรือนิยมเรียกว่า “อกิบะ (Akiba)” เป็นย่านการค้าที่อยู่ใจกลางโตเกียว โดยได้รับขนานนามว่า "เมืองอิเล็กทรอนิกส์อะกิฮะบะระ" เพราะเต็มไปด้วยร้านเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และยังเป็นสวรรค์ของเหล่าโอตาคุด้วย คนที่ชื่นชอบในอนิเมไม่ควรพลาด หากได้ไปญี่ปุ่น

5 นาทีจากสถานีรถไฟโตเกียว สู่ถนนโอตาคุ
Akihabara Goto
(https://a2.muscache.com/locations/uploads/photo/image/32340/0_4798_270_3352_one_Akihabara_Goto_002.jpg)

ในปี 1869 ไฟไหม้ครั้งใหญ่ได้เผาทำลายพื้นที่ส่วนใหญ่ ในแถบ Kanda และ Ueno ทำให้ทีมีแผนที่จะเคลียร์พื้นที่กว่า 30,000 ตารางเมตร เป็นพื้นที่โล่ง เพื่อใช้สำหรับป้องกันไม่ให้ไฟสามารถรุกรามเข้ามาถึง ปราสาท Edo ได้

ต่อมาในปี 1870 ก็ได้มีการสร้างศาลเจ้าชื่อว่า Chinka-sha (鎮火社) ให้เป็นที่ประทับของเทพ “Hibuse” เทพคุ้มครองที่คอยดับไฟ ขึ้นเพื่อปกปักรักษาพื้นที่ใกล้กับปราสาท Edo แต่ชาวบ้านแถวนั้นกลับเข้าใจผิด คิดว่าเทพที่มาประทับอยู่ในศาลเจ้านั้นคือเทพ Akiha Daigongen จากศาลเจ้า Akiha ใน Shizuoka ซึ่งเป็นเทพเกี่ยวกับไฟเช่นกัน มาประทับอยู่ในศาลเจ้าแห่งนี้ และด้วยสำเนียงการพูดของญี่ปุ่นที่คำว่า “Akiha” จะคล้ายๆ กับคำว่า “Akiba” ก็เลยกลายเป็นคำเรียกเทพที่ประทับ(จากความเข้าใจผิด)กันว่า “Akiba-sama” รวมถึงเริ่มมีการเรียกพื้นที่ตรงนี้ว่า “Akiba ga hara” (แปลได้ว่าพื้นที่ของเทพ Akiba) ด้วย

จนต่อมาในปี 1888 ได้มีการสร้างสายรถไฟจาก Ueno มาที่นี่ และตั้งชื่อตามศาลเจ้าว่า “Akihabara” และกลายเป็นชื่อทางการของพื้นที่ตรงนี้ แต่ถึงอย่างนั้นคนในพื้นที่ก็ยังมีการเรียกด้วยชื่อว่า “Akibahara” อยู่ด้วย โดยสถานี Akihabara เป็นแค่สถานีขนส่งสินค้า จนมาถึงในปี 1925 ก็ได้มีการเปิดรับผู้โดยสารทางรถไฟขึ้น โดยในปัจจุบันรถไฟตรงนี้ก็คือสาย Touhoku  และด้วยความที่ใช้เป็นแหล่งขนส่งสินค้าต่างๆ ทำให้ Akihabara กลายเป็นตลาดค้าผักและผลไม้

ต่อมาในปี 1945 หลังญี่ปุ่นแพ้สงคราม ได้ทำให้เหล่าวิศวกรและช่างอิเล็กทรอนิกส์กลับมายังบ้านเกิดอีกครั้ง รวมถึงมีการเปิดโรงเรียนสอนเกี่ยวกับอิเล็กทรอนิกส์ขึ้นด้วย (ปัจจุบันคือ Tokyo Denki University) แล้วก็เริ่มมีการปรับเปลี่ยนจากตลาดค้าผักและผลไม้ ก็เริ่มมีการขายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์อย่าง หลอดศูนย์อากาศ, วิทยุ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับนักศึกษา 

ต่อมาในยุค 1960 Akihabara ก็ได้กลายเป็นแหล่งซื้อขายอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ทีวี, ตู้เย็น, เครื่องซักผ้า และอื่นๆ อีกมากมาย โดยในตอนนั้น Akihabara เองก็มีคู่แข่ง คือย่าน Nipponbashi หรือ “Den Den Town” ในเมือง Osaka ในฝั่ง Kansai (Akihabara เป็นย่านที่อยู่ใน Tokyo อยู่ฝั่ง Kantou)

มาถึงยุค 1990 ตอนนี้ Akihabara เข้าสู่ยุคที่คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (PC) เริ่มได้รับความนิยม ก็ได้เกิดร้านขายคอมพิวเตอร์ในย่านนี้ อย่างร้าน Sofmap ที่ได้เปิดขึ้นในปี 1991 และเริ่มขายคอมพิวเตอร์ ทั้งมือหนึ่งและมือสอง ในช่วงเวลานี้เองที่วงการเกมและอนิเมะเริ่มเติบโต และก็เริ่มมีกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่า Otaku ในย่าน Akihabara

มาถึงยุค 2000 ย่าน Akihabara แห่งนี้ก็ได้เปลี่ยนแปลงมาเป็นอย่างในปัจจุบันคือ ร้านขายคอมพิวเตอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าลดลง และถูกแทนที่ด้วยร้านค้าสายอนิเมะ มังงะหรือเกม 

Akihabara Goto
(https://a1.muscache.com/locations/uploads/photo/image/32345/0_4798_0_3600_one_Akihabara_Goto_036.jpg)

Akihabara Goto
(https://a1.muscache.com/locations/uploads/photo/image/32336/0_4799_0_3600_one_Akihabara_Goto_061.jpg)